น้ำหอม โดยทั่วไปได้จากการนำหัวน้ำมันหอมซึ่งได้จากกระบวนการสกัดกลิ่นจากสิ่งต่างๆตามธรรมชาติเช่นส่วนต่างๆของพืช
สัตว์ หรือเป็น สารสร้างกลิ่นที่ผลิตด้วยกระบวนการทางเคมี
แล้วนำมาผสมกับสารละลายซึ่งส่วนมากเป็น เอททิลแอลกอฮอล์ ในสัดส่วนต่างๆกันโดยแต่ละ
อย่างก็จะเรียกต่างกันตามปริมาณหัวน้ำหอมที่ผสม
Perfume มีประมาณหัวน้ำหอม 20-40%
Eau de Parfum มีประมาณหัวน้ำหอม 10-30%
Eau de Toilette มีประมาณหัวน้ำหอม 5-20%
Eau de Cologne มีประมาณหัวน้ำหอม 2-3%
ในแต่ละความเข้มข้นเราจะเห็นได้ตามฉลากของน้ำหอมที่วางขายกันอยู่ในเคาเตอร์แบรนด์ต่างๆ
และจะเขียนส่วนประกอบของกลิ่นเอาไว้ด้วย
เสมอโดยความเข้มข้นนี้มีผลต่อความคงทนของกลิ่นและการกระจายกลิ่น
เมื่อความเข้มข้นยิ่งมากกลิ่นก็จะกระจายมากและอยู่ได้นานกว่าความ เข้มข้นต่ำ
และราคาของน้ำหอมก็จะแพงตามความเข้มข้นด้วยเช่นกัน
หัวน้ำหอมที่จะนำมาผสมก็จะมีการจัดลำดับความเข้มข้นได้อีก
5 ระดับคือ Absolute หัวน้ำหอมที่เข้มข้น
100%, Concrete หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 80%, Essential Oil
หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 60%, Pommade หัวน้ำหอมที่เข้มข้น
30%,Tincture หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 10%
ในน้ำหอมขวดหนึ่งๆนั้น
จะมีการเปลี่ยนระดับของกลิ่นต่างๆกันเมื่อเวลาผ่านไป
เราเรียกกลิ่นในระดับต่างๆนั้นว่าโน๊ต ของน้ำหอม ซึ่งน้ำหอมที่ดี
ควรจะมีการเปลี่ยนระดับ 3
ระดับและปรับเปลี่ยนอย่างนุ่มนวลไม่แสบจมูกหรือเป็นอันตรายต่ออวัยวะของเรา
โน๊ตของน้ำหอมทั้ง 3 ระดับ เรามีชื่อ เรียกต่างๆกันโดยประกอบด้วย
1.Head Note / Top Notes
เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่ระเหยส่งกลิ่นอออกมาเป็นตัวแรกสุดมักทำจากสารประกอบโมเลกุลเล็กที่ระเหยได้ง่ายให้ลักษณะกลิ่นสดชื่นโดดเด่น
โดยกลิ่นช่วงนี้จะอยู่ได้ประมาณช่วง 10 – 20
นาทีแรกหลังจากใส่น้ำหอม
2.Heart Note / Middle Notes
เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมตัวหลักในน้ำหอมชนิดนั้นๆ
มักมีลักษณะกลิ่นที่นุ่มนวลและกลมกลืนไปกับกลิ่น base note โดยกลิ่นของ
heart note จะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 3 – 6 ชม
หลังจากใส่น้ำหอม
เป็นกลิ่นของน้ำหอมในช่วงที่น้ำหอมส่วนมากแห้งหมดไปแล้วเป็นกลิ่นส่วนสุดท้ายของน้ำหอมสามารถอยู่ได้นานถึง
24 ชม หัวน้ำหอมชนิดที่ นำมาทำเป็น base
note มักทำจากสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่ระเหยได้ช้ามีลักษณะของกลิ่นที่ไม่รุนแรงหรือโดดเด่นแต่เป็นกลิ่นที่มีลักษณะ
หอมแบบเรียบๆและจะมีกลิ่นแตกต่างขึ้นอยู่กับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้, กิจกรรมที่ทำ,
สภาพอากาศเช่นความร้อนหรือ ความชื้นเป็นต้น
กลิ่นที่ 4 ของน้ำหอม
กลิ่นของน้ำหอมนั้นหากแยกตามส่วนประกอบของน้ำมันหอมที่นำมาผสมปรุงเป็นน้ำหอมก็จะประกอบด้วยกลิ่น
3 กลิ่นซึ่งก็คือ head note, heart note,
base noteนั่นเองแต่เมื่อผู้ใช้นำน้ำหอมมาใส่บนส่วนต่างๆร่างกายกลิ่นของน้ำหอมจะผสมรวมเข้ากับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้ซึ่งทำให้ลักษณะของกลิ่นที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้คนนั้นๆจนเกิดเป็นกลิ่นที่
4 ขึ้น
เป็นกลิ่นของน้ำหอมในช่วงท้ายของ base
note เป็นที่ติดหลงเหลืออยู่บนตัวหลังจากที่น้ำหอมทั้งหมดได้ระเหยออกไปจนเกือบหมดแล้วซึ่งส่วนมากจะนับว่า
bridge นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งใน base note เท่านั้น
โดย bridge นี้เป็นกลิ่นที่อ่อนไหวมากโดยเกิดจากกลิ่นของหัวน้ำหอมทั้ง
หลายที่เหลือเริ่มเจือจางและผสมเข้ากับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้ทำให้เป็นกลิ่นมักเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้นอยู่กับกลิ่นตัวธรรมชาติของผู้ใช้
แต่ละคน กลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้นั้นเป็นส่วนสำคัญที่ผู้ใช้น้ำหอมแต่ละคนควรนำมาพิจารณาในการซื้อน้ำหอมที่เหมาะกับตัวเองโดยหากจะเลือกซื้อ
น้ำหอมใดก็ไม่ควรลองดมจากขวดเท่านั่นควรลองฉีดลงบนตัวเพื่อจะได้ทราบว่าเมื่อกลิ่นของน้ำหอมนี้เข้ากับกลิ่นตัวตาม
ธรรมชาติของคุณได้หรือไม่ โดยคุณเป็นคนไม่ใช้คนที่มีกลิ่นตัวแรงหรือไม่ใช่คนที่ทำกิจกรรมหนักๆที่ทำให้เหงื่อออกมากแล้ว
กลิ่นของน้ำหอมที่ได้รับผลกระทบจาก กลิ่นตัวตามธรรมชาติจะมีเพียงกลิ่นช่วง base
note แต่ในบางคนที่มีกลิ่นตัวแรงหรือกับคนทำกิจกรรมหนักอาจจำเป็นต้องทดลองกลิ่นของ
heart note ด้วยเพื่อความแน่ใจ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น