วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับน้ำหอม

น้ำหอม โดยทั่วไปได้จากการนำหัวน้ำมันหอมซึ่งได้จากกระบวนการสกัดกลิ่นจากสิ่งต่างๆตามธรรมชาติเช่นส่วนต่างๆของพืช สัตว์ หรือเป็น สารสร้างกลิ่นที่ผลิตด้วยกระบวนการทางเคมี แล้วนำมาผสมกับสารละลายซึ่งส่วนมากเป็น เอททิลแอลกอฮอล์ ในสัดส่วนต่างๆกันโดยแต่ละ อย่างก็จะเรียกต่างกันตามปริมาณหัวน้ำหอมที่ผสม

Perfume มีประมาณหัวน้ำหอม 20-40%
Eau de Parfum มีประมาณหัวน้ำหอม 10-30%
Eau de Toilette มีประมาณหัวน้ำหอม 5-20%
Eau de Cologne มีประมาณหัวน้ำหอม 2-3%

ในแต่ละความเข้มข้นเราจะเห็นได้ตามฉลากของน้ำหอมที่วางขายกันอยู่ในเคาเตอร์แบรนด์ต่างๆ และจะเขียนส่วนประกอบของกลิ่นเอาไว้ด้วย เสมอโดยความเข้มข้นนี้มีผลต่อความคงทนของกลิ่นและการกระจายกลิ่น เมื่อความเข้มข้นยิ่งมากกลิ่นก็จะกระจายมากและอยู่ได้นานกว่าความ เข้มข้นต่ำ และราคาของน้ำหอมก็จะแพงตามความเข้มข้นด้วยเช่นกัน
หัวน้ำหอมที่จะนำมาผสมก็จะมีการจัดลำดับความเข้มข้นได้อีก 5 ระดับคือ Absolute หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 100%, Concrete หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 80%, Essential Oil หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 60%, Pommade หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 30%,Tincture หัวน้ำหอมที่เข้มข้น 10%
ในน้ำหอมขวดหนึ่งๆนั้น จะมีการเปลี่ยนระดับของกลิ่นต่างๆกันเมื่อเวลาผ่านไป เราเรียกกลิ่นในระดับต่างๆนั้นว่าโน๊ต ของน้ำหอม ซึ่งน้ำหอมที่ดี ควรจะมีการเปลี่ยนระดับ 3 ระดับและปรับเปลี่ยนอย่างนุ่มนวลไม่แสบจมูกหรือเป็นอันตรายต่ออวัยวะของเรา โน๊ตของน้ำหอมทั้ง 3 ระดับ เรามีชื่อ เรียกต่างๆกันโดยประกอบด้วย




1.Head Note / Top Notes
เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมที่ระเหยส่งกลิ่นอออกมาเป็นตัวแรกสุดมักทำจากสารประกอบโมเลกุลเล็กที่ระเหยได้ง่ายให้ลักษณะกลิ่นสดชื่นโดดเด่น โดยกลิ่นช่วงนี้จะอยู่ได้ประมาณช่วง 10 – 20 นาทีแรกหลังจากใส่น้ำหอม

2.Heart Note / Middle Notes
เป็นกลิ่นของหัวน้ำหอมตัวหลักในน้ำหอมชนิดนั้นๆ มักมีลักษณะกลิ่นที่นุ่มนวลและกลมกลืนไปกับกลิ่น base note โดยกลิ่นของ heart note จะอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 3 – 6 ชม หลังจากใส่น้ำหอม


3.Base Note / Back Note / Dry notes
เป็นกลิ่นของน้ำหอมในช่วงที่น้ำหอมส่วนมากแห้งหมดไปแล้วเป็นกลิ่นส่วนสุดท้ายของน้ำหอมสามารถอยู่ได้นานถึง 24 ชม หัวน้ำหอมชนิดที่ นำมาทำเป็น base note มักทำจากสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่ระเหยได้ช้ามีลักษณะของกลิ่นที่ไม่รุนแรงหรือโดดเด่นแต่เป็นกลิ่นที่มีลักษณะ หอมแบบเรียบๆและจะมีกลิ่นแตกต่างขึ้นอยู่กับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้, กิจกรรมที่ทำ, สภาพอากาศเช่นความร้อนหรือ ความชื้นเป็นต้น

กลิ่นที่ 4 ของน้ำหอม
กลิ่นของน้ำหอมนั้นหากแยกตามส่วนประกอบของน้ำมันหอมที่นำมาผสมปรุงเป็นน้ำหอมก็จะประกอบด้วยกลิ่น 3 กลิ่นซึ่งก็คือ head note, heart note, base noteนั่นเองแต่เมื่อผู้ใช้นำน้ำหอมมาใส่บนส่วนต่างๆร่างกายกลิ่นของน้ำหอมจะผสมรวมเข้ากับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้ซึ่งทำให้ลักษณะของกลิ่นที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้คนนั้นๆจนเกิดเป็นกลิ่นที่ 4 ขึ้น


4.Bridge
เป็นกลิ่นของน้ำหอมในช่วงท้ายของ base note เป็นที่ติดหลงเหลืออยู่บนตัวหลังจากที่น้ำหอมทั้งหมดได้ระเหยออกไปจนเกือบหมดแล้วซึ่งส่วนมากจะนับว่า bridge นี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งใน base note เท่านั้น โดย bridge นี้เป็นกลิ่นที่อ่อนไหวมากโดยเกิดจากกลิ่นของหัวน้ำหอมทั้ง หลายที่เหลือเริ่มเจือจางและผสมเข้ากับกลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้ทำให้เป็นกลิ่นมักเปลี่ยนแปลงง่ายขึ้นอยู่กับกลิ่นตัวธรรมชาติของผู้ใช้ แต่ละคน กลิ่นตัวตามธรรมชาติของผู้ใช้นั้นเป็นส่วนสำคัญที่ผู้ใช้น้ำหอมแต่ละคนควรนำมาพิจารณาในการซื้อน้ำหอมที่เหมาะกับตัวเองโดยหากจะเลือกซื้อ น้ำหอมใดก็ไม่ควรลองดมจากขวดเท่านั่นควรลองฉีดลงบนตัวเพื่อจะได้ทราบว่าเมื่อกลิ่นของน้ำหอมนี้เข้ากับกลิ่นตัวตาม ธรรมชาติของคุณได้หรือไม่ โดยคุณเป็นคนไม่ใช้คนที่มีกลิ่นตัวแรงหรือไม่ใช่คนที่ทำกิจกรรมหนักๆที่ทำให้เหงื่อออกมากแล้ว กลิ่นของน้ำหอมที่ได้รับผลกระทบจาก กลิ่นตัวตามธรรมชาติจะมีเพียงกลิ่นช่วง base note แต่ในบางคนที่มีกลิ่นตัวแรงหรือกับคนทำกิจกรรมหนักอาจจำเป็นต้องทดลองกลิ่นของ heart note ด้วยเพื่อความแน่ใจ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น